วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รีไซเคิลลำไยอัดแท่ง

นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าโครงการรีไซเคิลลำไยค้างสต๊อกว่า ตามข้อตกลงในการทำลายลำไยค้างสต๊อก ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต้องบดลำไยให้หมดทั้ง 60 โกดังภายในเวลา 150 วัน นับจากวันที่ได้รับการโอนงบประมาณเมื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อนำลำไยที่บดแล้วไปอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิงชีวมวลและนำไปจำหน่ายและนำรายได้คืนรัฐตามสัญญา

โดยขณะนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สามารถบดลำไยแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยตามจำนวนที่ได้รับมอบจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) โดยบดลำไยได้ทั้งสิ้น 46,309.04 ตัน คิดเป็น 99% จากลำไยทั้งหมด 46,828.17 ตัน ส่วนที่เหลือ 1% หรือประมาณ 519.13 ตัน เป็นลำไยที่ อ.ต.ก.ไม่สามารถส่งมอบได้ เนื่องจากมีการสูญเสียจากระบบการจัดเก็บที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดเชื้อรา กล่องเน่าเปื่อยฉีกขาดประมาณ 248 ตัน อีกประมาณ 270 ตัน เป็นลำไยที่พบปัญหาเรื่องปริมาณและคุณภาพ ซึ่ง อ.ต.ก.ต้องอายัดไว้เป็นของกลางเพื่อตรวจสอบต่อไป
สำหรับผลผลิตลำไยจาก 8 จังหวัดภาคเหนือในปีนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดว่าจะออกสู่ตลาดรวมประมาณ 396,959 ตัน แยกเป็น จังหวัดเชียงใหม่ 162,828 ตัน เชียงราย 51,264 ตัน พะเยา 17,346 ตัน น่าน 14,025 ตัน ลำปาง 1,754 ตัน ลำพูน 140,816 ตัน ตาก 5,697 ตัน และจังหวัดแพร่ 3,229 ตัน ซึ่งลดลงจากปี 2552 คิดเป็น 19.19% และแม้ว่าผลผลิตในภาพรวมจะลดลงแต่กลับพบว่า ผลผลิตจะกระจุกตัวสูงมากในช่วงเดือนกรกฎาคม ประมาณ 163,293 ตัน และเดือนสิงหาคม 199,612 ตัน ซึ่งอาจเกิดปัญหาลำไยล้นตลาดและราคาตกต่ำได้ กระทรวงเกษตรฯ จึงเร่งเตรียมแผนบริหารจัดการลำไย ปี 2553 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการ ผลไม้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
และได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร เสนอขออนุมัติงบประมาณจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำนวน 557.59 ล้านบาท เป็นเงินจ่ายขาด 157.59 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียน 400 ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการบริหารจัดการลำไย ปี 2553 ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป้าหมาย 158,000 ตัน.

2 ความคิดเห็น: